วันเสาร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2558

เคล็ดลับ 11 ข้อ เตรียมสอบนายร้อย!

เคล็ดลับ 11 ข้อ เตรียมสอบนายร้อย!



1.แรงบันดาลใจ
แรงบันดาลใจหรือความฝันจะเป็นตัวช่วยทำให้มองเห็นเส้นทางได้อย่างชัดเจน อีกทั้งจะช่วยฉุดเราขึ้นมาในช่วงเวลาที่เราท้อ เวลาที่เราอ่านหนังสือจนท้อและรู้สึกว่าเส้นทางมันยากลำบากให้เรานึกถึงแรงบันดาลใจแรกของเราเอาไว้ ใช้มันฉุดตัวเองขึ้นมาจากความย่อท้อเหล่านั้น การอ่านหนังสือหรือบทความที่เกี่ยวกับนายร้อยก็จะช่วยได้เป็นอย่างดี แต่แนะนำว่าอย่าอ่านเยอะเสียจนไม่มีเวลา อ่านหนังสือสอบ

เพราะว่าบนเส้นทางนี้มีเพียงแค่ความฝันหรือแรงบันดาลใจอย่างเดียวมันไม่พอ แต่ต้องลงมือทำ!


2.สำรวจตัวเอง
ก่อนตัดสินใจอ่านหนังสืออย่างบ้าคลั่ง ให้เราสำรวจตัวเองก่อนว่าถนัดหรืออ่อนในวิชาไหน และควรปรับปรุงมันอย่างไร ถ้าไม่รู้...แนะนำวิธีง่ายๆ คือ ไปซื้อข้อสอบเก่ามานั่งทำ ทำแบบตั้งใจและจับเวลา อาจจะเหนื่อยหน่อยแต่มันทำให้เรารู้ว่าตอนนี้ควรที่จะเสริมอะไรหรือทำให้ด่านใดเด่น
ข้อสอบของนายร้อย จะให้คะแนนความสำคัญไม่เท่ากันเช่น วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เป็นวิชาหลักจะมีคะแนนที่สูงกว่าวิชารองอื่นๆ อีกสามวิชา คือ สังคม ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ แต่ใช่ว่าวิชารองจะไม่สำคัญ สำหรับในสนามสอบคนเก่งๆมักจะทำคะแนนวิทย์และคณิตได้เต็มหรือเกือบเต็มกันอยู่แล้ว ดังนั้นวิชารองจึงเป็นวิชาที่ไว้ "เฉือน" กับคู่แข่งคนอื่นๆ เรียกได้ว่าห้ามละเลยโดยเฉพาะภาษาอังกฤษ!




3.มีความตั้งใจ
ทางสายนี้ถ้ามีแต่แรงบันดาลใจกับความฝันมันยังไม่พอหรอกครับ ถ้าหากเราไม่อยากให้มันเป็นฝันลมๆแล้งๆ เราก็ต้องตั้งใจทำให้มันถึงที่สุดและอย่าหยุดจนกว่าจะสำเร็จ ใครหลายคนที่สอบไม่ติดเพราะทำอะไรครึ่งๆกลางๆ มีความฝันแต่ไม่มีความตั้งใจ หรือมีความตั้งใจแต่ไม่ตั้งใจอย่างถึงที่สุดจริงๆ
รุ่นน้องหลายคนที่บ่นกับผมว่า "ผมอ่านหนังสือวันละ 5 ชั่วโมง ติวก็ติวตลอด แต่ก็ยังไม่ติด"
...

น้องครับ

                     "สมัยพี่สอบ พี่ตื่นตี 5 มาอ่านหนังสือ 6 โมงอาบน้ำไปโรงเรียน ถึงโรงเรียนก็อ่านหนังสือ เข้าห้องเรียนก็เอาหนังสือเตรียมสอบขึ้นมาอ่าน เที่ยงทานข้าวเสร็จก็ที่เงียบๆอ่านหนังสือ เข้าห้องเรียนช่วงบ่ายก็เอาหนังสือมาอ่านเหมือนเดิม ตกเย็นออกกำลังกาย 1 ช.ม. กินข้าวอาบน้ำแปรงฟัน แล้วก็อ่านหนังสือถึง 4 ทุ่ม  " วัฎจักร พี่เป็นแบบนี้ตั้งแต่ ต้นมกราจนถึงสอบ เรียกได้ว่าอยู่กับหนังสือวันละไม่ต่ำกว่า 10 ช.ม. ขนาดจะ "  -ี้ " พี่ยังเอาหนังสือเข้าไปนั่งอ่านเลยครับ (ฮ่าๆ)

เห็นความตั้งใจของพี่แล้วใช่ไหมครับ?
แต่ถึงอย่างนั้นพี่ก็ยังสอบติดในอันดับ 214...
นั่นหมายความว่ายังมีคนที่ตั้งใจและพยายามมากกว่าถึง "213 คน"
คงนึกไม่ออกเลยใช่ไหมว่าพวกพี่ๆเขาเหล่านั้นตั้งใจอ่านหนังสือมากกว่าพี่ขนาดไหน?


4.สงสัยให้ถาม
                     หลายครั้งที่เรานั่งอ่านหนังสือแล้วเกิดข้อสงสัยมากมายทั้งไม่เข้าใจหรือแก้โจทย์ไม่ออก อย่าเก็บคำถามนั้นไว้ในใจ เราควรถามเพื่อนเก่งๆ หรือถามครูประจำวิชานั้นๆ เพราะถ้าเราฝืนอ่านต่อหรือเข้าใจอะไรไปแบบผิดๆ ความรู้บางอย่างโดยเฉพาะวิชาฟิสิกส์ ใช้หลักความรู้ในการต่อยอดไปเรื่อยๆ ถ้าเราพื้นฐานผิดหรือไม่เข้าใจ มันก็จะผิดไปหมด และการที่มีเพื่อนคอยช่วยเหลือมันสนุกกว่าการอ่านคนเดียวเยอะ! 




5.ลด Social ลดเที่ยว ลดเกม
                   ในวันๆหนึ่งเราเสียเวลาไปกับการ Check Face ตอบ Line ไปเที่ยว เล่นเกม เป็นเวลาหลายชั่วโมงโดยที่ไม่รู้ตัว ลองนึกดูว่าถ้าเราเอาเวลานั้นมาอ่านหนังสือ สมมติว่าอย่างน้อยเราเปลี่ยนการเล่น Social วันละ 1 ช.ม. (อย่างน้อยที่สุด) มาเป็นการอ่านหนังสือ เป็นเวลา 60 วัน หลังจากนี้ เราจะมีเวลาในการอ่านหนังสือเพื่มถึง 60 ช.ม.! หรือ 2 วันกับอีก 12 ชั่วโมง! มันเยอะพอที่จะทำความเข้าใจหนังสือซักบทได้สบายๆเลยนะ!


6.พักเรื่องหัวใจ


                   ข้อนี้ไม่ได้บอกให้เลิกรักแต่บอกให้พักเอาไว้ก่อนเพราะหัวใจของวัยรุ่นมันช่างเปราะบางเสียจนหลายครั้งมันมีผลกระทบต่อเรื่องอื่นๆ อีกทั้งในวันๆหนึ่งเราใช้เวลาคิดถึงคนรักมากเกินไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่กำลังอินเลิฟหรือจีบกันใหม่ๆ เป็นอุปสรรคที่หินอย่างมาก
ซึ่งวันนี้จะแนะนำทางออกให้
3 ทาง

1) ช่วยกันเรียน เป็นหนทางที่ประนีประนอมที่สุด แต่ผลลัพท์ออกมาพอใจทั้งคู่ แต่เป็นวิธีที่ยากเพราะส่วนใหญ่อยู่ด้วยกันแล้วจะไร้สาระมากกว่า

2) ลดการพูดคุยโทรศัพท์แต่จัดเวลาให้สำหรับคนพิเศษในแต่ละวัน วิธีนี้เป็นวิธีที่ค่อยๆลดพฤติกรรมระหว่างคนสองคนลง มันจะทำให้ไม่ห่างกันมากเกินไปและมีเวลาตารางที่แน่นอนในแต่ะวัน

3) หักดิบ บอกกับเขาไปตรงๆว่าเราจะสอบนายร้อยแล้วนะเราขอเวลาของเรา โดยอาจจะจูงใจด้วยคำสัญญา ว่าเราจะกลับมาพร้อมกับความสำเร็จ...หรืออื่นๆ วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้เรามีเวลาอ่านหนังสือได้อย่างเต็มที่ และอย่าไปกลัวว่าเขาจะทิ้งครับ คิดซะว่าถ้าเขาทิ้งเราไปก็เหมือนทิ้งอนาคตแต่ขอบอกไว้อย่างนึงเลยครับว่า 
"ถ้าคนมันใช่...ยังไงเขาก็รอ" 

                 

7.หนังสือไม่ต้องเยอะแต่เน้นความรู้แน่น
             หลายคนมักจะซื้อหนังสือเตรียมสอบนายร้อยมาเยอะๆ เพื่อหวังว่าจะมีความรู้ตามจำนวนหนังสือที่ซื้อมา ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ดี แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้วมันผิดในทางปฎิบัติเสียมาก เพราะหนังสือเตรียมสอบนายร้อยส่วนใหญ่ที่วางขายมักจะนำข้อสอบเก่าๆมายำรวมๆกัน แล้วเฉลยโดยอาจารย์ของแต่ละสำนัก ข้อผิดพลาดคือ หลายครั้งที่เฉลยผิด เฉลยไม่เคลียร์ หนักที่สุดคือมีแต่เฉลยแต่ไม่มีวิธีทำ
             ข้อแนะนำในการเลือกซื้อหนังสือคือเราควรจะหาหนังสือติวสอบทั่วไปในแต่ละวิชามากกว่าเพื่อที่จะมีความรู้และพื้นฐานที่ดีก่อนที่จะไปลุยโจทย์ยากๆ ถึงเฉลยไม่เคลียร์แต่เรามีความรู้และพื้นฐานที่ดี เราจะเข้าใจที่มาของมันเองว่ามาอย่างไรและจะทำให้การอ่านหนังสือไม่รู้สึกถึงทางตันเวลาทำโจทย์ด้วยครับ





8.บันไดเสียง
"อย่าเอาคำดูถูกมาทำให้เราทดถอยลงไป แต่จงใช้เป็นบันไดไต่ขึ้นไปสู่ความสำเร็จ"
            ยิ่งเราโดนดูถูกเราก็ยิ่งต้องพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่าเราทำได้ แล้วคำดูถูกเหล่านั้นจะกลับมาเป็นคำชื่นชมในวันที่เราประสบความสำเร็จครับ

9.ตารางชีวิต
               จัดเวลาของเราว่าวันไหนต้องอ่านวิชาอะไรบ้าง ควรหยุดอ่านเมื่อไหร่ ควรจะออกกำลังกายกี่นาที ให้เวลากับใครกี่นาที แปะตารางไว้บนหัวเตียงเลยก็ได้ เจ้าตารางตัวนี้จะช่วยเราระลึกได้ว่าเราควรที่จะต้องทำอะไรต่อไปครับ

10.ศึกษาข้อสอบเก่า
               โดยปกติแล้วจะมีหนังสือรวมข้อสอบเก่าพร้อมเฉลยและวิธีทำจากแต่ละเหล่าวางขายในวันที่เราไปสมัครสอบรอบแรก โดยหนังสือเหล่านี้จะดีกว่าหนังสืออื่นตรงที่บอกด้วยว่าข้อไหนอาจารย์ผู้ออก ออกโจทย์ผิด หรือไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง
               เมื่อเรามีหนังสือที่รวมข้อสอบเก่าอยู่ในมือแล้ว ให้เราดูลักษณะโจทย์โดยรวมของในแต่ละเหล่า ว่าเน้นไปที่เรื่องใด อย่างเช่น วิทยาศาสตร์ มี 25 ข้อ เป็นฟิสิกส์ที่เกี่ยวกับเรื่องแรงกี่ข้อ มีเคมี ชีวะกี่ข้อ เป็นต้น ข้อสอบของแต่ละเหล่า มักจะมีรูปแบบจำนวนข้อที่เน้นอยู่แล้วเพื่อให้รับบุคคลากรที่เหมาะสมกับเหล่าของตน ให้เราลองวิเคราะห์และนั่งทำดูครับ โจทย์ที่สอบทุกปีมักจะคล้ายข้อสอบเดิมแต่พลิกแพลงหรือเปลี่ยนตัวเลขเอานั่นแหละครับ

11.อย่าหลงตัวเอง อย่าอยู่แต่ในกะลา
               เรื่องนี้เอาไว้เตือนพวกที่ 1 ค่ายหรือคนที่กำลังมีคะแนน ติดอันดับ 1 ใน 10 ของค่ายติวที่ตัวเองเรียน มันเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ที่พอรู้สึกตัวเองว่าเก่งแล้ว ขอพักหน่อย หรือหย่อนการอ่านหนังสือลงซักหน่อย ลองคิดดูนะครับ คนสมัครสอบปีนึง 20000-30000 คน น้องเป็นส่วนเล็กมากๆ เมื่อเทียบกับมัน คนเก่งกว่าน้องยังมีอีกเยอะครับ อัตราส่วนเพื่อนในค่ายเทียบกันไม่ได้เลย ท่องเอาไว้เสมอครับว่า "เมื่อไหร่ที่เราหยุดอยู่กับที่ก็เท่ากับว่าเราถอยหลัง" แล้วความสำเร็จจะอยู่ไม่ไกลครับ.

สุดท้ายอยากฝากคลิปวีดีโอนี้ไว้ เพื่อกระตุ้นให้คนที่กำลังจะสอบ ตั้งใจในสิ่งที่ตัวเองทำครับ :)






วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2558

First Jump ครั้งแรกของการโดดร่ม!


Diary First jump


ครั้งแรกของการโดดร่ม!




          ใจตุ้มๆต่อมๆกับการโดดร่มในวันแรก บอกตามตรงว่าผมเป็นโรคกลัวความสูงมาก
จากการจัดรอบโดดผมได้โดดเป็นโหลดที่สอง(เที่ยวบินที่ 2) สติ๊กแรก คนที่ห้า
ได้เป็นคนนั่งพื้นเครื่องแถวกลาง โดดเป็นชุดแรกของเที่ยวบินนี้
ตอนอยู่ในเครื่อง ครูฝึกให้ร้องเพลง หนึ่งเพลง เพื่อปลุกใจ พวกเราโหลดสองก็เลยร้อง "เล่นของสูง"
ร้องไปพอเครื่องเอียงทีก็เงียบที ไม่เคยร้องไปแล้วลืมเนื้อกันแบบนี้เลย ฮ่าๆ
ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นมาก พอจั้มป์ สั่งให้ลุกใจเรามันก็เริ่มแบบว่า เอาแล้วเว้ยจะโดดแล้ว!
พอเกี่ยวฮุค เช็คความพร้อมต่างๆ เข้าท่าทาง จั้มป์ก็สั่งคนแรก "Stand in the door!" 



...หัวใจมันก็เริ่มรัวเป็นกลองละ... 
หลังจากนั้นอีกสักพัก "Go!" 

          เสียงปล่อยตัวจากจั้มป์ และความเร็วในการโดดออกจากประตูของแต่ละคนผมพูดได้เลยว่าเหมือนวิ่งออกมาจากประตู ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิด และทราบภายหลังว่าครูด่ามาไล่หลังแต่ความรู้สึกตอนนั้นคือ                             

"กูต้องไปแล้วโว้ยย!" 


           พอหลุดออกมาจากเครื่องสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น แม้ว่าผมอาจจะเหมือนวิ่งออกมา แต่ท่าทางยังถูกต้องบีบเข่าเท้าชิด ก้มหน้า ลืมตา ปากนับ นับนี่รู้ตัวว่านับช้าไปหน่อย ถึงแม้ว่าจะยังมีสติ แต่ก็ยังมีอาการ "เหวอ" ของการตกจากที่สูง (มากกกก)ครั้งแรก 

        พอ "two thousand" ก็เริ่มรู้สึกแล้วว่าร่มออกมาจากแพคข้างหลังและกระตุกตัวเราขึ้นไปเล็กน้อย
        


        ในจังหวะ "three thousand" ของผม ผมมองเห็นทิวทัศน์ของชะอำในรูปแบบที่คนทั่วไปอาจจะไม่มีวันได้เห็น ท้องฟ้าสีคราม กับทะเลที่ต้องแสงพระอาทิตย์จนมันกลายเป็นแสงระยิบระยับ และอร่าม แทบจะกลืนกับท้องฟ้า    
มันสวยเสียจนผมยังจำติดตามาจนทุกวันนี้...

        "four thousand" ผมมองเห็นเพื่อนที่โดดลงมาอยู่ข้างๆกัน เนื่องจากการรีบออกมากันเกินไป และจังหวะ check canopy ผมมองขึ้นตรวจร่มว่าร่มกางสมบูรณ์หรือไม่ เมื่อร่มกางสมบูรณ์และลอยเอื่อยๆอยู่บนท้องฟ้า ผมตะโกนออกมาด้วยความสะใจ "วู้ววววว!" มันตะโกนออกมาด้วยอารมณ์เหมือนกับว่า   

                                    "รอดตายแล้วโว้ย" ความรู้สึกในตอนนั้นมันเป็นแบบนั้นจริงๆ




        และสิ่งที่ผมต้องทำต่อไปคือ   ดึงร่มเข้าสนามโดดแรกๆก็ยังงงๆ   ว่าต้องจับคู่ไหนลมไปทางไหนยังไง แต่ก็ระลึกไว้ได้ว่าต้องดึงคู่ที่เข้าสนามก่อน ลมยังไงก็ช่างมัน 
เพราะจั้มป์ต้องปล่อยให้ตัวเราพัดเข้าสนาม   ครูป๊ะที่ทำหน้าที่โฆษกอยู่ด้านล่างก็คอยบอกทิศทางลมว่าลมไปทางไหนต้องจับคู่ไหน 
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรับรู้ได้คือลมบนกับลมล่างไม่เหมือนกัน เพราะสังเกตจากทิศทางที่ลมพัดปะทะหน้ามันขัดกับที่ครูบอก




                 แล้วความสนุกมันก็เริ่มขึ้นตรงนี้... ผมลองดึงตามที่ผมเข้าใจไม่ได้ดึงไว้ตลอดเวลา เนื่องจากผมบังคับร่มเข้าสนามแล้ว ลองดึง ลองปล่อย ลองเบรค ลองบังคับ ไปในทิศทางที่ต้องการ ผมโชคดีที่ลมไม่แรงมาก ทำให้เอื้อต่อการทดลองของผม
 

              ตอนนี้อยู่ในระยะ 200 เมตรแล้วจากการสังเกตความสูงเสาธงและบ้านเรือนที่เริ่มใหญ่และใกล้ผมเข้ามาทุกทีร่มของผมลงมาช้าๆเอื่อยๆ ทีแรกก็กำลังคิดว่า จะไปลงตรงวงกลม 69 ที่เพื่อนทำไว้เป็นสัญลักษณ์ดีหรือไม่ เพราะระยะห่าง ประมาณ 20 เมตร แต่มาคิดอีกที... 




                   นี่ครั้งแรกของผม... ผมเอาตัวเองรอดก่อนดีกว่า (ฮ่าๆ) พออยู่ในระยะประมาณ 150 เมตร    ผมเริ่มดึงคู่เบรคเต็มที่ ไม่มีปล่อย ร่มลงไวขึ้นเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกว่าพื้นดินที่มันพุ่งเข้าหน้าก็ช้าๆ เหมือนกัน ช้าจนทำให้ใจผมคิดว่า ผมจะยืนเลยดีไหมนะ? เพราะผมเป็นนักยูโด เคยชินกับการที่โลกหมุนหนึ่งรอบแล้วตัวกระแทกลงพื้นอยู่บ่อยๆ... แต่นี่มันช้ากว่าการถูกทุ่มเสียอีก... 

                   จิตใจที่ลังเล ทำให้เมื่อเท้าจะถึงพื้นผมเกิดอาการแหยงพื้น ยกเท้าขึ้นมาเล็กน้อย แต่ยังดีที่ขาผมยังชิดคู่อยู่ เป็นจังหวะที่เท้าคู่กระทบพื้นพอดี แล้วด้วยสัญชาตญานจากการฝึกมาตลอดหนึ่งเดือน ก็ทำให้ล้มในท่าหน้าตรงล้มซ้ายได้อย่างถูกต้อง หัวไม่น็อคพื้น ตัวไม่บาดเจ็บ สบายเสียยิ่งกว่าการโดนทุ่มเสียอีก 
           เพื่อนผู้หญิงที่เป็นเซฟตี้ก็รีบวิ่งมาช่วย ผมยืนขึ้นแล้วรู้สึกเหมือนตัวถูกลาก แต่ขาติดสายร่มอยู่หนึ่งเส้น ผมรีบเอาออกและ วิ่งตัดทิศทางลม เพื่อไม่ให้ร่มลากผมไป เพื่อนผู้หญิงก็ช่วยดึงหัวร่ม และช่วยพับร่มเก็บ ผมแหงนหน้ามองฟ้า สูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อระลึกว่าผมได้ผ่านสิ่งที่ผมกลัวที่สุดในชีวิต            
            ผมรู้สึกประทับใจมากในการโดดครั้งแรกของผม แม้จะมีข้อผิดพลาดอยู่หลายจุด แต่บอกได้เลยว่าไม่มีครั้งไหนประทับใจเท่ากับการโดดร่มครั้งแรกแล้วจริงๆ.


วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2558

นิยามความสุข

ผมอยู่ภายในรั้วลวดหนาม
...ที่ชื่อว่ากฎระเบียบ...
ผ่านร้อน ผ่านหนาวมาหลายคืน
เฝ้าคอยนับวันที่ฉันจะกลับไปยังแสงสีเสียง




                              เหงื่อชโลมกายชุ่มไปทุกเที่ยงวัน
วิงวอนต่อตะวัน ให้ตะวันช่วยหรี่แสงลง...
แต่ตะวันก็ไม่เคยรับฟัง
หรือแม้แต่เมฆก็ไม่เคยจะเห็นใจ






              เหมือนมีเสียงกระซิบ
ว่าสิ่งที่ผมทำ
...ทำไปเพื่ออะไร?...





ผมโหยหาความสุข
โอดครวญ ความเหนื่อยล้า
พร่ำบ่นกับผู้คน

อยู่ในนี้มานานนับเดือน
จนถึงวันที่ต้องพิสูจน์สิ่งที่ได้ร่ำเรียนมา





แบกเป้สะพายปืน
ขึ้นลงภูเขาสูงชัน ผ่านผาและหุบเหวลึก

ผมเหนื่อยล้า...
และเสียงกระซิบเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ
...แต่ด้วยหน้าที่...
ทำให้ผม หยุดเดินไม่ได้


 
ตะวันเริ่มคล้อย
ผมถึงที่หมายตรงยอดเขาลูกหนึ่ง

ทุกคนเริ่มตั้งค่าย ผูกเปลและก่อไฟ

ความเหน็บหนาว
ทำให้ผู้คน ล้อมรอบ
กองไฟกองนั้น...

พูดคุย แลกเปลี่ยน และร้องเพลง

ผมสนุกอย่างที่ไม่เคยจะเป็น
เสียงของเราดังลั่นไปทั่วหุบเขา





รู้สึก สบายใจ อย่างบอกไม่ถูก
อาจเป็นเพราะ บนภูเขา  
...ไม่มี กฎระเบียบ...




ผมปลีกตัว นั่งลงบนโขดหิน
มองไปยังแสงไฟในเมือง
ที่ตรงนี้ แสงของมัน ไม่ต่างอะไรกับหมู่ดาว
และมันเรียกร้องให้ผมกลับไป...

เพื่อนตบบ่า นั่งลงที่ข้างๆอย่างรู้ใจ
ชี้ไปยังแสงไฟสลับกับกองไฟ
แล้วถามว่า อย่างไหนมีความสุขมากกว่ากัน?

ผมบอกตอบไม่ได้ เพราะเริ่มไม่แน่ใจ
ว่าอะไรคือความสุขกันแน่...

เพื่อนบอกไม่เป็นไร ลองหลับตาแล้วชั่งใจดู
ผมหลับตาตามคำของเพื่อน
รับรู้ถึงสิ่งรอบข้าง
สายลมกระทบร่างอย่างแผ่วเบา
เหล่าแมลงร้องเซ็งแซ่ไปทั่วหุบเขา
คลอเคล้ากับเสียงหัวเราะรอบกองไฟ

นึกถึงวันเวลาที่ผ่านมา
ว่าแท้จริงแล้ว
ที่ได้อยู่ท่ามกลางแสงไฟและผู้คน
ผมมีความสุขจริงๆหรือ?

หรือมันเป็นเพียงความสำราญ
ที่พอพ้นผ่านข้ามคืนวันก็หมดไป...





ผิดกับกองไฟกองนี้
ที่รายล้อมไปด้วยผู้คนที่จริงใจ
และไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด
พวกเราก็จะไม่มีวันลืม...


ผมตระหนักในนิยามของความสุข
สำหรับผมมันคือการพอใจในสิ่งที่เกิดขึ้น

พอใจกับภูเขาที่ไร้กฎระเบียบมากำกับแห่งนี้
พอใจกับการเดินทาง ที่เคยโอดครวญ
ถึงความยากลำบากของมัน
พอใจกับกองไฟที่รายล้อมไปด้วยผองเพื่อน

ผมลืมตา แล้วตอบคำถาม
ที่พึ่งค้นพบคำตอบ
เพื่อนยิ้มให้ ตบบ่าของผมอีกครั้ง
ก่อนจะขอตัวไปนอน



ผมเดินกลับไป
ตอนนี้เหลือเพียงแค่ผมกับกองไฟ
เป็นหน้าที่ของผม
คนสุดท้ายต้องเป็นคนดับไฟ

ความสนุกหมดไป
แต่ความสุขยังไม่จางหาย
เหมือนไฟที่มอดดับ
แต่ความอบอุ่นยังคงหลงเหลือ...

ผมหลับตาลง
เฝ้ารอการเดินทางในวันถัดไป
หวังที่จะก่อกองไฟกองใหม่...
กองไฟที่ทำให้ผมพบความสุขอีกครั้งหนึ่ง.